ตุลาคม 2561

อะไรคือกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจชีวาทัย?

เราค่อนข้างเปิดกว้างกับกลไกต่างๆ ที่เอื้อต่อการสร้างการเติบโตของธุรกิจ เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตด้วยการขยายโครงการที่พักอาศัยทั้งแบบอาคารสูงและอาคารเตี้ยทั่วกรุงเทพมหานคร นอกจากนั้น ในอดีตเรามีการขยายธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการ เช่นโครงการคอนโดมิเนียม AQ Aria Asoke และล่าสุดก็มีการใช้รูปแบบกิจการร่วมค้ากับโครงการที่พักอาศัยและโครงการโรงแรม เหตุผลที่เราเปิดกว้างต่อกลไกดังกล่าวเนื่องจากเราไม่ใช่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราต้องมีความยืดหยุ่นในการคว้าโอกาสของตลาดและธุรกิจที่เข้ามา

ผลการดำเนินงานของชีวาทัยดูแล้วเป็นที่น่าพอใจ อะไรคือปัจจัยหลักที่สนับสนุนเรื่องนี้?

เพราะเราเน้นทำโครงการในพื้นที่ศักยภาพที่เป็นที่นิยมเท่านั้น เนื่องจากมีความต้องการที่เข้มแข็งและลูกค้าเองก็ต้องการจะยกระดับตนเอง ในครึ่งแรกของปี 2561 เราสร้างรายได้ 1,400 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 10% โดยมีเป้าหมายรายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้น 20% ที่ 2,400 ล้านบาท ด้วยความได้เปรียบจากการผลิตปริมาณมาก ผลกำไรสุทธิจึงเพิ่มขึ้นจาก 7-8% เป็น 10% เรามียอดขายที่รอรับรู้รายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท และมีแผนจะเปิดตัวอีก 10 โครงการใหม่ในอนาคต ในการที่จะสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้กับบริษัทฯ เราได้ออกหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 1:1 และระดมเงินทุนได้ 537 ล้านบาทไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มากไปกว่านั้น เรายังออกหุ้นกู้จำนวน 1,700 ล้านบาทในระหว่างปีในอัตราที่น่าสนใจ ยังผลให้นำมาซึ่งเงินทุน 2.2 พันล้านบาทสำหรับลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อไป

ชีวาทัยมีเป้าหมายที่จะสร้างสมดุลระหว่างโครงการอาคารสูงและอาคารเตี้ย ตลอดจนการสร้างรายได้ต่อเนื่องจากทรัพย์สิน ปัจจุบันมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?

ล่าสุดโครงการอาคารเตี้ยชีวารมย์ รังสิต-ดอนเมืองประสบความสำเร็จด้วยการขายหมดทั้งโครงการ โครงการนี้เป็นโครงการนำร่องที่เราตั้งใจจะศึกษาตลาด เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับเราต่อไป มูลค่าโครงการอยู่ที่ 490 ล้านบาท ประกอบด้วย 81 ห้องชุด ณ จุดนี้เรามองเห็นอัตราการดูดซับที่ค่อนข้างอยู่ตัวตลอดระยะเวลา 12 เดือน ทั้งนี้ การจะสร้างสมดุลระหว่างโครงการอาคารสูงและอาคารเตี้ย คงจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปีเนื่องจากโครงสร้างรายได้ของโครงการทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกัน ด้วยมูลค่าโครงการที่เกินกว่า 1 พันล้านบาท นับเป็นโครงการมูลค่าสูง ส่วนโครงการอาคารเตี้ย หากขายได้เดือนละ 6 ห้อง ในมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาทต่อห้อง นั่นหมายความว่าเราจะต้องพัฒนา 10 โครงการในเวลาเดียวกัน ในอนาคตเราวางแผนจะทำโครงการทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมควบคู่กันไป ขณะนี้มี 7 โครงการใหม่ โดย 3 ใน 7 เป็นกิจการร่วมค้า มูลค่ารวมทั้งสิ้น 11,800 ล้านบาท และเรายังเป็นพันธมิตรกับ Nye Estate คู่ค้าผู้มากประสบการณ์สำหรับโครงการที่หาดกมลา จังหวัดภูเก็ต รวมถึง LPN Development และ ช.การช่างด้วย อีกทั้งเรายังมีโรงงานให้เช่าและมีเป้าหมายสร้างรายได้ 1,500 ล้านบาทเมื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีแผนจะจัดตั้ง REIT ในอนาคตด้วย เรื่องเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน และด้วยโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาล (EEC) เราก็จะมองหาโอกาสที่มีศักยภาพเพื่อเข้าซื้อคลังสินค้าและโรงงานเพื่อสร้างรายได้และโอกาสทางธุรกิจต่อไป

มีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ อยากให้คุณช่วยอธิบายถึงเหตุผล

TEE Land บริษัทลูกของ TEE Group Singapore เป็นผู้ถือหุ้นรายแรกๆ และมีสัดส่วนการถือหุ้น 33% ในชีวาทัย ซึ่งล่าสุดได้มีการขายหุ้นคืนเนื่องจากเป็นการตัดสินใจในระดับกลุ่มบริษัท เป็นผลจากการปรับยุทธศาสตร์ไปเน้นความสำคัญที่ธุรกิจในสิงคโปร์ TEE Land เป็นคู่ค้าที่ดีกับชีวาทัยเสมอมาและยังให้การสนับสนุนเชิงบวกในการออกหุ้นเพิ่มทุนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในมุมมองของเรา เรากำลังก้าวไปข้างหน้า และเห็นศักยภาพของตลาดประเทศไทย เห็นได้จากการเพิ่มทุนเพื่อต่อยอดโอกาสที่เข้ามาหาเรา

มุมมองของคุณต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละภาคส่วนในกรุงเทพมหานครเป็นอย่างไรบ้าง?

อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครนับว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงธุรกิจหนึ่ง มีผู้ประกอบการพัฒนาโครงการและเปิดตัวออกมาในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และระดับราคา ในอดีต การที่จะสร้างตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมตลาดบน หรือที่พักอาศัยราคาประหยัดอาจเป็นเรื่องง่าย แต่ในวันนี้สภาพการทำธุรกิจได้เปลี่ยนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ความต้องการก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม เห็นได้จากยอดขายในปีนี้ และเราคาดหวังว่าจะเพิ่มยอดขายอีก 20% ในขณะเดียวกัน ปัจจัยทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคและจุลภาคยังคงเป็นบวก บรรยากาศการทำธุรกิจเป็นบวก โครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่ประกาศไปเมื่อ 2-3 ปีก่อนก็กำลังดำเนินการ ประชาชนมีความตระหนักรู้ว่าการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง เราคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงสดใสต่อไปในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลทราบดีว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจ ด้วยศักยภาพในการเพิ่มการจ้างงาน การก่อสร้าง และการเงินการธนาคาร ดังนั้นเราจึงมองว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

คุณมองธุรกิจชีวาทัยในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร?

จุดมุ่งหมายของเราคือการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง ที่สร้างรายได้ในระดับ 5 พันล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะทำเป้าหมายนี้สำเร็จใน 3-4 ปีข้างหน้า


บทสัมภาษณ์ผู้บริหารชุดนี้จัดทำโดย ShareInvestor Thailand ผู้ให้บริการด้านสื่อการเงินออนไลน์ เทคโนโลยี และเครือข่ายนักลงทุนสัมพันธ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่อีเมล์ admin.th@shareinvestor.com Website: www.ShareInvestorThailand.com